จากเม็ดทรายเม็ดเล็กสู่ผืนทรายสายงาม โดย เกศสุดา ชาตยานนท์ บุญงามอนงค์

ชีวิตทุกคนเปรียบเสมือนเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ที่มีคุณค่าในตัวเองเพียงแต่เราจะค้นพบและค้นหาคุณค่านั้นได้หรือไม่เพียงใด คุณค่าของเม็ดทรายมีมากมายมหาศาล บางคนไม่เคยรู้ บางคนพัฒนาได้เปี่ยมล้น และเหลือไปสู่สิ่งรอบๆ
เมื่อเรายังเด็กเราไม่เคยรู้อะไรในความเป็นตัวเรา การรับรู้ค่อยๆ เพิ่มพูนเติบโตไปตามวัย ด้วยความหลากหลายของรูปร่าง และจิตใจ ครอบครัวเป็นจุดกำเนิดหนึ่งที่สำคัญของการหล่อหลอมตัวตน
ความรักเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการก่อตัวของเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ เด็กๆทุกคน ผู้ใหญ่ทุกรายชีวิตทุกชีวิตต้องการอย่างขาดเสียมิได้ เราจะเติบโตเป็นคนที่นุ่มนวล เข้าอกเข้าใจ หยิบยื่น หรือแข็งกระด้าง กระแทกกระทั้น หรือหรือเมินเฉย ต่อสิ่งรอบตัวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการกระทำจากพ่อแม่ ผู้ใหญ่ คนรอบๆ ตัวว่ากระทำต่อเราเช่นไร
ความรักมิใช่เพียงนิยามในสมองที่เรามีไว้เพื่อให้เหตุผลเข้าข้างและเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ความรักเป็นการกระทำบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นอหิงสาไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตัวเอง รวมทั้งการรู้จักที่จะดูแลตัวเองไม่ให้ถูกเบียดเบียน ความรักเป็นการกระทำที่อ่อนโยน ปราณี หนักแน่น อดทน ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวด เย่อหยิ่ง ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาและอุปสรรคใดๆ ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น เชื่อมั่นในทุกๆคนทุกสิ่ง มีความหวังกับทุกคนทุกสิ่ง ไม่เห็นแก่ตัว และพร้อมที่จะแบ่งปันความรักมิได้เป็นแค่ความคิดนิยาม จากสมอง แต่เป็นความรู้สึกจากหัวใจ จะมีพลังและเป็นจริงได้ต้องลงมือกระทำ
ในชุมชนอาสาสมัครสึนามิที่เขาหลักเนเจอร์รีสอร์ท เราจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งความรักที่มีพลัง เห็นแหล่งการเรียนรู้ แบ่งปัน บ่มเพาะปลูกฝัง ความห่วงใย ใส่ใจและหยิบยื่น เป็นชุมชนที่จะช่วยยกระดับจิตใจให้กับทุกๆ คนที่มาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ศาสนาใด เพศไหน อายุเท่าไหร่ เป็นสถานที่พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกฝนพลังแห่ง
การรุก(ให้) การรับ และพลังแห่งการสมานฉันท์ที่ดี
จากเม็ดทรายเม็ดเล็กที่มีความงามในตัวเอง ค่อยๆ ไหลมารวมกัน ผู้เขียนได้สัมผัสกับครอบครัวน่ารักครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยภาคใต้ เกิดและโตที่นราธิวาส จนอายุ 16 ปีไปเรียนต่อที่อเมริกา คุณเชิด_เชื้อประเสริฐ นามผล อายุ 56 ปีและลูกชาย Simon สุริยะ NomPone อายุ 23 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เมือง Gulfport ,Mississippi USA คุณเชิด เป็นวิศวกร (Engineering Manager and Field Engineering Manager)ที่ Altronic Inc. และGas Technologies Inc, แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกัน และมีลูก 3 คน คนแรกจบเทคนิคการแพทย์และคนที่สองคือSimon เรียนจบรร.ฝึกสอนการบิน (Higher Education Aviation) ปัจจุบันทำงานเป็น General Manager ในวัยเพียง 23 ปี สามารถมีเงินเก็บสร้างบ้านสร้างครอบครัวและช่วยเหลือพ่อแม่ได้แล้ว นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าภูมิใจของพ่อแม่ ส่วนคนเล็กยังศึกษาอยู่
นับเป็นครั้งแรกในชีวิต Simon ที่ได้มีโอกาสมาเมืองไทย และเป็นการมาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น กระปรี้กระเปร่า ดีใจที่จะได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดทรายเม็ดเล็กๆที่พร้อมจะส่องแสงในตัวเอง จากเหตุการณ์สึนามิ คุณเชิดรับทราบข่าวการสูญครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตผู้คนจากหลายๆ ชาติในผืนแผ่นดินไทย และความเสียหายของคนทางภาคใต้ทำให้คุณเชิดหดหู่ เศร้าใจ ไม่สามารถข่มตาหลับได้หลายๆวัน ในที่สุดจึงตัดสินใจขอลางานโดยจะใช้โคว้ต้าวันหยุดที่มีอยู่เพื่อจะเดินทางสู่แผ่นดินเกิดตามเสียงเรียกร้องภายใน
จากเหตุการณ์สึนามิเป็นการสูญเสียร่วมกันของคนทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยทางภาคใต้ ประกอบกับลักษณะส่วนตัวของคุณเชิดเองที่เป็นคนไทยที่อ่อนน้อม มีน้ำใจ ช่วยเหลือแบ่งปัน ทำให้การเดินทางเป็นอาสาสมัครครั้งนี้นอกจากไม่ต้องใช้โควต้าวันหยุดแล้ว ทางบริษัทยังช่วยสนับสนุนการเดินทาง และพนักงานก็ช่วยกันสมทบทุนเป็นเงินพันกว่าเหรียญและเจ้าของบริษัท Mr Bruce Beeghly ช่วยอีก 1 พันเหรียญเช่นกัน อาสาสมัครคนไทยในต่างแดนที่มาช่วยงานที่ศูนย์แห่งนี้นอกจากคุณเชิด ก็ยังมีมาจากอังกฤษอีกคน คือคุณมาลีนี(มะขามป้อม) ณ ตะกั่วทุ่ง ก็ได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทในลักษณะเดียวกัน คุณมะขามป้อมอยู่อังกฤษมา 30 ปีแล้ว แต่ยังคงผูกพันในแผ่นดินแม่ อีกทั้งการทำงานอาสาสมัครในต่างประเทศถือเป็นงานที่มีเกียรติ และมีคุณค่า

ณ ศูนย์อาสาสมัครแห่งนี้เราจะเห็นภาพพ่อลูกคู่นี้ รวมพลังกันทำงานอยู่ตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะงานที่เป็นงานเครื่องยนต์กลไกทั้งหลาย เสื้อยืดเก่าๆ เหงื่อที่ไหลโชกชุ่มตัว ทั้งคู่ทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะซ่อมห้องน้ำ ซ่อมปั๊มน้ำ ติดต่อทหารมาช่วยงาน ทำเฟอร์นิเจอร์ หาแหล่งน้ำ ทำสะอาดวัด ลอกลางน้ำ งานแปลและการเป็นล่าม ทั้งคู่ ใส่ใจ กระฉับกระเฉง และเป็นเช่นเงาตามตัวในยามทำงาน ลูกชายบอกว่าภูมิใจที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ และตอนนี้ตัวเองกำลังพัฒนาตนไปตามรอยเท้าพ่อ งานช่างต่างๆ ลูกชายก็เรียนรู้จากพ่อ และสามารถซ่อมรถยนต์เองได้ตั้งแต่ 6 ขวบ Simon มีพ่อเป็น Hero ในดวงใจเขาเรียนรู้หลายสิ่งๆ ที่ดีงามและพัฒนาให้ได้เช่นพ่อ พ่อแม่ให้ความรักกับเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข คุณเชิดปลูกฝังพลังที่มีในตนเองสู่ลูกได้อย่างที่ใจหวัง นับตั้งแต่ความรักที่มีต่อภรรยา แม่ผู้ลาออกจากงานประจำมาเลี้ยงลูกและสอนลูกเอง เธอต้องมีความรักที่เต็มเปี่ยมจากสามีและพร้อมที่จะถ่ายพลังนั้นให้ลูก ที่น่าทึ่งมากกว่านั้นคุณเชิดไม่ใช่เพียงพ่อผู้ให้สายเลือดกับลูกเท่านั้นแต่เป็นคนที่ทำคลอดให้ Simon ด้วยมือของตัวเอง ด้วยการร้องขอจากผู้เป็นภรรยาที่ต้องการคลอดเองที่บ้าน และต้องการให้สามีเป็นคนทำคลอดให้ และคุณเชิดก็ทำได้อย่างดีด้วย
หากเปรียบเทียบSimon กับคนในรุ่นๆ เดียวกันวัย 23 แล้ว จะเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่ประสบความสำเร็จเร็ว มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตและได้เป็นที่พึ่งพาของพ่อแม่ การฝังจิตสำนึกของการเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่ามีมาแต่วัยเยาว์ ทุกๆ

ปิดเทอมหน้าร้อนลูกจะได้ไปเป็นอาสาสมัคร ช่วยคนที่ด้อยกว่า ทำมา 5 ปีแล้ว งานอาสาสมัครสึนามิครั้งนี้คุณเชิดจึงให้โอกาสลูกมาร่วมด้วยเพื่อว่าเมื่อเขาเติบโตไป ในทุกๆ ที่ที่เขาอยู่ ไม่ว่าจะทำอะไรจะได้นึกถึงผู้ด้อยกว่าเสมอ ความคิดเช่นนี้นี่เองที่ทำให้คุณเชิดมาที่นี่ เพราะคุณเชิดบอกว่าตัวเองมีความยากลำบากมาก่อน เมื่อเราได้ดีขึ้นมาเราก็จะไม่ลืมจุดกำเนิดและนึกถึงจิตใจของทุกๆคนที่โศกเศร้า สูญเสีย ยากจน
เมื่อคุณเชิดเล่าถึงลูกชาย ดวงตาจะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความหวังและพลังใจ
และSimonเองก็เช่นกันก็ไม่ต่างกันเมื่อได้พูดถึงพ่อ คุณเชิดบอกว่าทุกสิ่งที่ได้มานี้ในฐานะของผู้เป็นพ่อขอยืนยันว่าเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ เพราะความรักที่มีการลงมือกระทำต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ได้เลี้ยงลูกเองเพื่อจะถ่ายสิ่งดีๆให้ลูก ได้ทำให้
ลูกเห็น ได้เป็นให้ลูกสัมผัส คำพูดที่ว่าเด็กเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่พูด เป็นคำพูดที่ผู้เป็นผู้ใหญ่ทุกคนควรได้ทบทวนอยู่เสมอ
คุณเชิดบอกว่าตั้งแต่คุณเชิดได้มาเป็นอาสาสมัครที่เขาหลัก ที่ๆ มีการสูญเสียมากที่สุดตัวเองได้ทำงานตามที่หัวใจเรียกร้อง ได้มาพบคนที่มีหัวใจเดียวกัน วันแรกที่มาด้วยสีหน้าและแววตาที่เศร้า เหงา รอคอย ค้นหา เวลาวันผ่านไป คุณเชิดกลับมานอนหลับได้อีกครั้ง ตามด้วยแววตามีประกายที่เปี่ยมสุข มีชีวิตชีวาและเราสามารถสัมผัสได้ถึงความภูมิใจ ในตัวเองของพ่อลูกคู่นี้
ภาพครอบครัวน่ารักๆ ที่นี่ที่ไม่ใช่เพียงครอบครัวเดียว ทำให้ผู้เขียนที่กำลังรับบทบาทของผู้เป็นแม่รู้สึกไปถึงครอบครัวอื่นๆ ที่ต้องการสร้างเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ให้มีคุณค่าในตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นเม็ดทรายบนซอกมุมไหน สีสันอย่างไร ณ มุมนี้เป็นอีกเวทีหนึ่งที่ทุกคน ทั้งที่มีครอบครัวหรือไม่มี สามารถมาใช้ชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความสุข ความสุขจากการเป็นผู้ให้ ยิ่งเราให้ความรักที่มีออกไปมากเท่าไหร่เราก็จะปิติสุขจากการกระทำของเราเป็นเท่าตัว ความสุขของครอบครัวคือการที่เราได้เห็นคนในครอบครัวกลมเกลียว หยิบยื่น มีน้ำใจ รู้จักรับ รู้จักให้ รู้จักการสมานฉันท์ เห็นการเติบโตไปเป็นเม็ดทรายที่ส่องแสงในตัวเองอย่างที่ผู้ใหญ่แต่ละคนได้บ่มเพาะพลังนั้นไว้ และเม็ดทรายที่มีคุณค่าในตัวเองจะส่องประกายไปทุกหนแห่งของผืนดินที่เขาอยู่ และที่เขารับรู้ในทุกๆ ที่ จากหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันเป็นแสนล้าน สว่างไสวในผืนโลกตลอดไปในใจของผู้กระทำและผู้ได้สัมพันธ์ ใกล้ชิด

Leave a Reply

Your Email address address will not be published. Required fields are marked *