เราคือผู้ออกแบบโลกของเราเอง โดย เกศสุดา ชาตยานนท์ บุญงามอนงค์

ไม่มีอะไรหรือใครที่จะมาสร้างโลกภายในของเราได้ นอกจากความคิด และความเชื่อ และการกระทำของเราเอง

ความคิดบางความคิดนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์และความรู้สึกของร่างกาย
เราจะเท่าทันสิ่งต่างๆ ในตัวเราได้อย่างไร การอ่านหนังสือหรือฟังคนอื่นพูด อาจจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ระดับหนึ่ง แต่เพื่อที่จะสามารถตระหนักรู้ เท่าทันตัวเองอย่างถ่องแท้และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่แท้จริง ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

การฝึกการเจริญสติ เป็นอิกวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจความจริงแท้ ภายในตัวเอง และยังช่วยให้เราเป็นอิสระจากความความคิดและการกระทำที่สร้างความทุกข์ได้
มีลูกค้าคนหนึ่งมีความทุกข์ เศร้าลึกๆ มาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็พยายามหาทางออก ไปอินเดีย และฝึกสมาธิมาหลากหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนได้มีโอกาสมารับคำปรึกษากับผู้เขียน ผู้เขียนได้แนะนำการฝึกสมาธิแบบลืมตา หรือการเจริญสติแบบยกมือของหลวงพ่อเทียน และนำเทคนิคนี้ไปสู่การเคลื่อนไหวกายแบบต่างๆ ในที่สุดก็ทำให้ชายผู้นี้หลุดออกจากความเศร้าลึกๆ และได้สัมผัสกับความปิติของการมีชีวิตแบบตื่นรู้ อยู่กับปัจจุบันได้

ในเวิร์คช๊อบหลักสูตร การเจริญสติในชีวิตประจำวัน และโยคะแห่งสติ ที่ผุ้เขียนจัดครั้งล่าสุด ที่
อเมริกา ก็มีผุ้เรียนคนหนึ่งที่เป็นผุ้ที่ฝึกโยคะมากว่า 20 ปี
ก็เกิดอาการปิติ น้ำตาร่วงอาบแก้มในระหว่างการฝึกสติแบบยกมือนี้ เธอแบ่งปันหลังการฝึกว่า เธอรู้สึกสงบ นิ่ง ผ่อนคลาย จิตที่นิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวจากการฝึกที่เรียบง่าย พร้อมทั้งน้ำเสียงของผู้เขียน ที่เอื้อต่อความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ณ ห้วงขณะเวลานั้น เธอประทับใจในวิธีการฝึกแบบยกมือและประสบการณ์ที่เธอไม่เคยได้เรียนรู้ที่ไหนมาก่อน
ยังคงมีตัวอย่างของคนอีกหลายๆ คนที่เคยที่ได้ประโยชน์และประสบการณ์แห่งการตื่นรู้นี้ จากการฝึกสติแบบแนวหลวงเทียน ที่สามารถช่วยให้จิตใจเป็นอิสระจากความกังวล หม่นหมอง ช่วยรักษาอาการทางจิตใจ ที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยทางกาย หลวงพ่อเทียน จิตตุสุโภ เจ้าอาวาสวัดสนามใน

(2454 – 2531) เป็นพระนักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงในการสอนเรื่องการเจริญสติ หลวงพ่อถือว่าเป็นต้นแบบที่เน้นการสอนการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ที่สอนจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง โดยเฉพาะการยกมือ ซึ่งผู้เขียนนั้นโชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้เรียนกับท่านที่วัด ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต สองปีให้หลัง และนี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดหลักสูตรและหนังสือ “โยคะแห่งสติ” นพลักษณ์เพื่อการรู้จักตัวเอง และหลักสูตรการบำบัดต่างๆ
ส่วนตัวผู้เขียนเองผ่านพ้นช่วงแห่งความทุกข์ที่ถือว่าหนักที่สุดมาได้ ก็จากการฝึกเจริญสติแบบนี้
เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วผู้เขียนเคยมีอาการหมดไฟ เกิดอาการซึมเศร้าจากการทำงานมากไป ขาดการดูแลร่างกาย ฝืนตัวเองให้ทำงานแม้ว่าจะเป็นไข้ไม่สบาย อาหารก็ไม่พอ สิ่งที่ทำให้จิตตกมาก คือ ร่างกายอ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่ก็ยังพยายามฝึกโยคะและสมาธิอยู่ แต่ก็ไปไม่รอดเพราะเรี่ยวแรงมีไม่พอ น้ำหนักลดลง ร่างกาย ระบบขับถ่าย ต่างๆ แปรปรวน และไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไร ไม่ต้องการที่จะเป็นใคร ไม่เหลือความสามารถที่จะรู้เท่าทัน ปล่อยให้จิตตกจมดิ่ง จนกระทัี่งส่งผลกระทบต่อระบบในร่างกาย เพื่อนสนิทที่เป็นหมอสั่งให้ใช้ยานอนหลับ และผู้เขียนก็ยอมตามเพราะเป็นเพื่อนที่รักและวางใจ
ผู้เขียนก็ตั้งใจไว้แน่นอนว่าจะต้องหลุดออกจากสภาวะนี้ให้ได้
เทคนิคการเจริญสติที่เคยฝึกมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกับหลวงพ่อเทียนเขมานันทะเมื่อ 20

กว่าปีก่อน ก็ได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันตั้งแต่นั้น
เมื่อใช้ยานอนหลับและหลับได้ ร่างกายพอมีแรงขึ้นมา
และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ต้องเองกลับสู่สภาวะปกติ ช่วงนั้นร่างกายยังเหนื่อยง่าย ความเศร้ายังวนเวียนอยู่ จิตใจยังไม่แจ่มใส ร่างกายและจิตนั้นสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
ในช่วงบางเวลาระหว่างวัน ชุดความคิดด้านลบต่างๆ จะโผล่ขึ้นมา เช่น ชีวตินี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ทำตามความฝันหมดแล้ว แล้วจะอยู่ต่อเพื่ออะไร ความคิดเกิด อารมณ์เศร้าก็เกิดขึ้น ส่งผ่านสู่ร่างกาย พร้อมกับอาการหวิวๆ ในท้อง กล้ามเนืือล้า หายใจระรวยและอาการหมดแรงก็จะตามมา ผู้เขียนจัดวางพื้นที่ของชีวิตใหม่ จัดกิจวัตรประจำวันต่างๆ ใหม่ให้ธรรมดา เรียบง่าย เหมาะกับฝึกเจริญสติในทุกขณะ
หัวใจสำคัญของการฝึกสติแบบนี้คือ ฝึกดึงจิตให้มาอยู่กับความรู้สึกของร่างกาย ร่างกายที่เคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่ง โดยเฉพาะเวลาที่เห็นความคิดด้านลบที่ส่งผลต่อกาย คิดปุ๊บ เห็นปั๊บ พลิกมือปั๊บ เคาะนิ้วบนโต๊ะ เคลื่อนนิ้วมือ ลุกเดิน หรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยให้จิตไปตามรู้ร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวนั้น
กระพริบตาก็รู้ นั่งลงก็รู้ ยกมือรู้ วางมือรู้ ก้าวเดิน แกว่งแขน ส่ายหัว หายใจเข้า ออก ลมพัดเย็นๆ ผ่านผิวกายรู้ ทำสิ่งต่างๆ ใดๆ รู้หมด ให้เกิดความรู้สึกตัวล้วนๆ หลวงพ่อเทียนเรียกสิ่งนี้ ว่า “รู้

เฉยๆ” “รู้ซื่อๆ, ตรงๆ” เรียกว่า เห็น สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน ทุกผัสสะที่เข้ามาก็รับรู้มันตามที่เป็น ฝึกจิตไม่ให้ตัดสิน กายและใจตามกันไป ตัวรู้ ตัวเห็นที่ว่านี้คือสติ สภาวะนั้นจิตเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย จิตเป็นอิสระจากความคิด ความเชื่อต่างๆและฝึก จดจ่อต่อเนื่องก็เกิดสมาธิ และเกิดความเข้าใจที่เราเรียกว่าปัญญา ที่ทำให้เราเห็นความจริงแท้ของธรรมชาติ ของชีวิต ทีทุกสิ่งไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และเห็นว่าเรายึดติดอะไรไม่ได้

ผู้ฝึก ฝึกเช่นนี้ตลอดทั้งวัน หลุดไปก็ทำใหม่ โดยที่กิจวัตรประจำวันต่างๆ ก็ดำเนินไปตามปกติ จะลุก นั่ง ยืนเดิน ทำงานบ้าน กิน นั่งเฉยๆ อยู่ในห้องน้ำ อาบน้ำ ก็ฝึกได้
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนรุ้สึกจิตที่แจ่มใสขึ้น ร่างกายมีเรี่ยวแรงดีขึ้นตามมาเรี่อยๆ และก็เริ่มลดยานอนหลับลงเมื่อเข้าสู่เดือนที่สอง จนกระทั่งเลิกเลยเมื่อเข้าสู่เดือนที่สาม ออกกำลัง จัดกิจวัตรประจำวันให้เอื้อต่อการนอนหลับ ออกกำลัง ดูแลจิตให้ผ่อนคลาย ทำเทคนิคการผ่อนคลายอย่างลึก และผู้เขียนเพิ่มการฝึกแบบเตรียมตัวก่อนตายไปด้วย นั่นคือเครื่องมือที่สำคัญเพื่อเป็นการปล่อยวางทั้งหมด และทำให้เราหลับลงไปได้อย่างไม่ต้องพึ่งพายานอนหลับอีกต่อไป และร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ จิตใจแจ่มใส ความคิดสร้างสรรค์อยากทำโน่นนี่ก็กลับมา แถมด้วยความรักและขอบคุณในชีวิต ผู้เขียนทุ่มเทให้กับการดำรงอยู่ ณ ปัจจุบัน เห็นว่าชีวิตเรานั็นมีอยู่และจับต้องได้เพียงขณะเดียวจริงๆ
ประสบการณ์แห่งความทุกข์ครั้งนั้น ให้ชีวิตใหม่ที่มีคุณค่า และเป็นอิสระ ตระหนักรู้ถึงพลังและความสัมพันธ์ของความคิดและร่างกาย และรู้ว่าเราต้องดูแลตัวเองอย่างไร และค้นพบวิธีที่จะมีชีวิตอย่างตื่นรู้ สดใหม่ทุกขณะ ปล่อยวางและศิโรราบกับตัวตน สถานะ และสิ่งสะสมต่างๆ เกิดความอ่อนโยน กรุณาต่อตัวเองและชีวิตอื่นได้อย่างแท้จริง ช่วยให้เรามั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ความสงบสุข และแจ่มใสที่แท้นั้นไม่ต้องไปไขว่คว้า จากสิ่งใด และก็ไม่มีใครสร้างให้เราได้ เราทำเองและเราก็เห็นเองรู้สึกเอง

(ปัจจัตตัง)
ผู้เขียนก็ได้เริ่มงานบำบัดสำหรับผุ้คนที่มีปัญหาทางจิตใจ มีคามเครียด ซีมเศร้า อารมณ์รุนแรงต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการใช้แนวทางการฝึกสมาธิ และเจรฺิญสติหลากหลายรูปแบบ ปรับไปตามความเสภาพที่เหมาะสมของแต่ละคน และพบว่า แนวทางที่ฝึกจากหลวงพ่อเที่ยนนั้นเป็นเทคนิคที่มีเรียบง่ายสุด มีพลัง เป็นหัวใจหลักที่ นำไปใและใช้ได้สำหรับกรณีเร่งด่วน
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหลักที่ตัดสินใจรับงานจัดตั้งชุมชนบำบัดนานาชาติแห่งการเจริญสติ ที่เชียงราย

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็เพราะด้วยความเชื่อมั่นว่า การเจริญสติจะสามารถช่วยให้ผู้คนผ่านพ้นสภาวะที่ยุ่งยาก รักษาความป่วยไข้ทางจิตใจ และมีชีวิตที่สุขภาวะที่ดีขึ้นได้เรื่อยๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพา สิ่งเสพติด หรือยาต่างๆ ทุกวันนี้มีผู้คนจากทั่วโลกที่ได้ผ่านเข้าร่วมโปรแกรมบำบัดที่ชุมชนแห่งนี้ ได้รับประโยชน์จากการเจริญสติและมีชีวิตที่ดีขึ้น แม้ผู้เขียนจะไม่ทำงานที่นั่นอีกต่อไป แต่วิถีแห่งการเจริญก็ยังต้องดำเนินต่อไป ทั้งต่อตัวผู้เขียนเองและทั้งชุมชนแห่งการเจริญแห่งนี้

Leave a Reply

Your Email address address will not be published. Required fields are marked *